Friday, January 4, 2008

แสงหนึ่ง...คือรุ้งงาม



วันที่ 2 มกราคม 2551 เป็นวันหนึ่งที่จะต้องจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย

เนื่องจากเป็นวันที่คนไทย ได้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การสู่สวรรคาลัย ของ

สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลญานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์


จากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ สื่อทุกสื่อ ได้นำเสนอพระราชประวัติ ซึ่งมีบางช่วงตอนที่เราเองไม่เคยรู้มาก่อน และได้เห็นพระจริยวัตรอันงดงาม ตั้งแต่พระองค์ทรงพระเยาว์
ภาพของพระพี่นางของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ ที่ปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่ล้วนแต่สนับสนุน และแบ่งเบาภาระขององค์พระมหากษัตริย์


แม้ว่า จะประจักษ์แก่สายตาว่า พระสิริโฉมของพระองค์งดงามเพียงใด แต่น้ำพระทัยของพระองค์งามยิ่งกว่า...
ภาพที่พระองค์จัดรองเท้าให้กับสมเด็จย่า... แม้จะไม่ทราบว่า ทั้งสองพระองค์เป็นใคร
ภาพนี้ก็ยังสะกดให้เราพินิจ เพราะว่า เป็นภาพที่แสดงให้เป็นถึงความรักและกตัญญูของลูกที่มีต่อแม่
แต่นี่เป็นภาพของพระราชวงค์ ที่เป็นที่รักของคนไทย ที่พระจริยวัตรเป็นแบบอย่าง
ทั้งในบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ และความเป็นครอบครัว
ที่รักและผูกพันกันอย่างยิ่ง
โชคดีแค่ไหน ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย
โชคดีแค่ไหน ที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมีของสมเด็จย่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระพี่นางฯ
- - - - - - - - - - - -
เพลง "แสงหนึ่ง คือรุ้งงาม"
รู้ไหมว่าเราซาบซึ้งใจแค่ไหน และรู้ไหมว่าเรานั้นปลาบปลื้มเท่าไหร่
ที่ได้เธอเป็นพลังอันสำคัญ เพราะว่าเรานั้นรู้ว่าเธอทำเพื่อใคร
เหน็ดและเหนื่อยแค่ไหน เธอไม่ไหวหวั่น พร้อมที่จะให้เรานั้นได้เดินต่อไป
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่สำหรับเรานั้น เธอเหมือนดังกับแสงที่มองไม่เห็น
แต่เมื่อสะท้อนสิ่งที่ซ่อนเร้นเธอก็เด่นชัดขึ้นทันที
เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี
แต่เธอก็สะท้อนความจริงในโลกนี้
ให้พบเห็นสิ่งดีว่างดงามเพียงใด

Thursday, January 3, 2008

พุทธสุภาษิต - ในกาลไหนๆ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร


วันนี้ ไปงานศพ คุณพ่อของพี่ที่ทำงาน แล้วทำให้นึกถึงงานศพคุณพ่อ เมื่อต้นปีที่แล้ว

การจากไปของคนที่เรารัก เช่น บุพการี เป็นบทเรียนที่สำคัญ

และยิ่งใหญ่ที่สุด ในชีวิตมนุษย์ ทำให้เราเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

แกร่งมากขึ้น มองโลก และ เห็นอนาคตได้ชัดเจนขึ้น

ชีวิตคนเรา ... มีเกิด มีดับ ไปตามกาล ตามกรรมของแต่ละคน แม้คนที่เรารักเค้ามากที่สุด

ก็มิอาจยื้อเค้าไว้ได้... เราเองจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้

และทุกครั้งที่ไปงานศพ ก็จะคิดถึง พิธีแผ่เมตตา ขออโหสิกรรม ให้กับผู้ตาย

ถ้าหากว่า เราไปทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับผู้ตาย ทั้งกาย วาจา และใจ ก็ขออโหสิกรรมด้วย

จากที่เคยนึกโกรธใครอยู่ ก็เลยพลอยทำให้ผ่อนคลายจิตใจไปได้

ดังที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

---------------------------------------------


เวร....คือ....การจองล้าง..จองผลาญ..ซึ่งกันและกัน

ดังนั้น..บุคคลผู้จองเวร....จะมีใจผูกแค้น..ต่อคู่เวร..กับตนเองปรารถนา..จะให้เขาพินาศ..ต่างๆ เมื่อจองเวรต่อเขา..เขาก็จะจองเวรตอบ

มุ่งหวัง..จะเข้าห้ำหั่นกัน..ไม่มีที่สิ้นสุด

แล้วเวรจะระงับ..ได้อย่างไร

แต่ถ้าทั้งสองฝ่าย..พิจารณาเห็นโทษ..แล้วหยุดเสีย

ทั้งสองฝ่าย..หรือฝ่ายใด..ฝ่ายหนึ่ง....โดยมีขันติ..และเมตตา..เข้าช่วย

เวรก็จะสงบ..และระงับได้

การอภัยทาน คือ การทำทานที่ยากที่สุดแต่ผลได้รับสูงที่สุดทั้งต่อจิตใจและสุขภาพ

ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร


จากทางแห่งความดี อ.วศิน อินทสระ

พระพุทธภาษิต :

น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน

คำแปล : ในกาลไหนๆ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า อธิบายความ การผูกเวร ก็เหมือนกับการผูกพยาบาท

เมื่อต่างฝ่ายต่างผูกใจเจ็บกันอยู่ เวรก็ไม่สามารถระงับลงได้

แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกผูกเวรเสียด้วยการให้อภัยและแผ่เมตตาให้เสมอๆ เวรย่อมระงับลงได้ในเวลาไม่นาน การไม่ผูกเวรทำให้จิตใจเราสบาย

เมื่อใดใจผูกเวร เมื่อนั้นมองไปไหนก็เห็นแต่ศัตรู

แต่เมื่อใดใจของเราไม่มีเวรกับใคร มีแต่เมตตาปรานี เมื่อนั้น มองไปทางใดก็เจอแต่มิตร เพราะฉะนั้น พระเจ้าโกศล เมื่อให้โอวาทพระราชโอรส ทรงพระนามว่า ฑีฆาวุกุมาร

จึงตรัสว่า ฑีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่กาลยาว อย่าเห็นแก่กาลนั้น เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาด เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวรไว้กับใครๆ จงจำแต่ความดีที่ผู้อื่นทำแก่ตน แต่อย่าจำความร้ายที่เขาทำให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่จิตใจ

คำว่า อย่าเห็นแก่กาลยาว นั้น หมายความว่าอย่าผูกเวรเอาไว้

เพราะเวรยิ่งผูกก็ยิ่งยาว

คำว่า อย่าเห็นแก่กาลสั้น นั้น หมายความว่า อย่ารีบด่วนแตกจากมิตร

มีอะไรก็ค่อยๆ ผ่อนปรนกันไป ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเข้าใจผิดก็ได้ อย่าด่วนลงโทษใครง่ายเกินไป และอย่ารีบแตกจากใคร ขอให้พิจารณาเสียร้อยครั้งพันครั้ง



Wednesday, December 26, 2007

ข้อคิดเพื่อชีวิตมีสุข...(ถ้าทำ)



ข้อคิดเพื่อชีวิตมีสุข...(ถ้าทำ)
ได้รับ Forward Mail ที่อ่านแล้ว ก็คิดว่า
น่าจะช่วยให้เป็นข้อคิดเล็กๆ ในการใช้ชีวิตและทำงานร่วมกับผู้อื่น ถ้าทำได้ น่าจะทำให้เรามีความสุข และคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรามีความสุขด้วยเหมือนกัน ลองอ่านและลองไปปรับใช้ดูนะคะ

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน
2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
3. จงปฏิบัติตาม 3Rs
3.1 เคารพตนเอง (Respect for self) หากเราไม่เคารพตัวเองแล้ว ใครจะเคารพเรา
3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others) เมื่อเราเคารพตัวเองแล้วเราต้องเคารพคนอื่น
(น่าจะรวมถึงการตัดสินใจของผู้อื่น)
3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)
หากเราไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของเราแล้วใครจะมาเคารพเรารับผิดแทนเรา
4.จงจำไว้ว่าการที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์
5. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยมาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ (ข้อนี้ชอบมาก)
6. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
7. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน (เพราะเวลาที่อยู่กับตัวเอง เป็นเวลาที่เราได้ทบทวนความคิดและการกระทำของเราได้ดีที่สุด)
8. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป (การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตเรา และเป็นความจริงของชีวิต)
9. จงระลึกไว้ว่าบางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด (ให้เวลาเป็นคำตอบ)
10. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง (เริ่มจะรู้สึกว่าจริง เพราะเริ่มสูงวัย)
11. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต (ข้อนี้สำคัญที่สุด ถ้าใครยังไม่พบความจริงข้อนี้ ชีวิตก็จะยังไม่พบกับความสุขที่แท้จริง)
12. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบันอย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
13. จงแบ่งปันความรู้ (เพราะเมื่อแบ่งปัน ความรู้ก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยไม่มีที่สิ้นสุด)


PS.
- ข้อความในวงเล็บ เป็น comment ส่วนตัว ที่ ตรงกับความคิด ชีวิต และประสบการณ์ ในชีวิตที่ผ่านมา
- บทความพวก self development หรือ how to ทั้งหลาย คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่ลองนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงๆ

Friday, November 23, 2007

วิธีอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ


ช่วงนี้ มักได้ยินใครต่อใครพูดถึง การที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ชอบ ไม่ว่าจะในชีวิตหรือการทำงาน จริงๆ แล้ว การที่เราไม่ชอบ อาจไม่ได้หมายถึงเราไม่ชอบตัวตนของคนคนนั้น เพียงแต่ว่า ในชีวิตของการทำงาน ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เมื่อบ่อยๆ และนานเข้า ก็จะกลายเป็นความไม่ชอบใจ ลองนึกถึงวันแรกที่มาทำงานสิ คนที่มาก่อน ก็ย่อมจะหวังว่า น้องใหม่ จะมาเป็นเพื่อนร่วมงาน ร่วมอุดมการณ์ เหมือนพี่เหมือนน้องกัน แต่ไฉน นานวันเข้าจึงเป็นแบบนี้



ได้อ่านบทความ ของท่าน ว. วชิรเมธี ที่พูดถึงวิธีอยู่กับคนที่เราไม่ชอบได้น่าฟัง

ลองอ่านดูนะคะ น่าจะช่วยคลายเส้นความไม่พึงใจ ให้ทุเลาลงได้บ้าง


**************************

เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย
ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา)
กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต
โดยลืมไปเลยว่า อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
'“น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”'
คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ใ
ห้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมา เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย
ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา)
กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต
โดยลืมไปเลยว่า อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
'“น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”'
คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ

ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมา เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม
หรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง

ความโกรธ ความเกลียดนั้น ไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า

''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''

กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด

ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน'' แก้ไขที่ตัวเอง

อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด

สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ

หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด

อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง ''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

วิธีแก้ปัญหา illegal post time!!

สำหรับทุกท่านที่มีปัญหาการ post บทความใน blog
ที่เมื่อพิมพ์ข้อความแล้ว post จะปรากฎข้อความ illegal post time error!!! แล้วล่ะก็
เราพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว สามารถทำได้ง่ายมาก และคิดว่าปัญหานี้จะพบกับผู้ใช้งาน blogger ในประเทศไทย
มาเริ่มแก้ปัญหากันเลยนะคะ
- เข้าสู่หน้า Setting

- เลือกเข้าเมนู Formating
เข้าไปแก้ไขรายละเอียดใน Time zone ให้ปรับเป็น (GMT+07.00) Bangkok
Language ให้ปรับเป็น English
ขอให้ทุกคน Enjoy กับการใช้ Blogger ในการเนรมิตร blog ส่วนตัวต่อไปนะคะ
อย่าลืมขยันมา update อะไรใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟัง

Try to Solved problem!!!!

changed the language to English in the setting page

Friday, November 9, 2007

บทเพลงของพ่อ


ตอนยังเป็นเด็กๆ จำได้ว่า คุณครูจะสอนให้ร้องเพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ สายฝน ลมหนาว ซึ่งก็จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ตอนที่ร้องเพลง หรือได้ฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ ก็ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้ง เท่ากับวันนี้ อาจจะด้วยที่ว่า ตอนที่เรายังเด็ก เรายังไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำในบทเพลง และเรายังไม่รู้ว่า พระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่ประพันธ์บทเพลงเหล่านี้ ท่านเป็นผู้รักประชาชนชาวไทยทุกคนอย่างไร


ยิ่งเติบโตขึ้น ความรักของเราที่มีต่อพ่อหลวง ก็ยิ่งทวีขึ้น เพราะทุกยามของชีวิตที่เติบโต เราต่างรับรู้ถึงพระคุณของพระองค์ที่หาที่สุดไม่ได้

ครั้งเดียวที่ได้เฝ้าพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดที่สุด คือวันพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 เกือบ 10 ปี มาแล้ว จำได้ว่า เสี้ยววินาที ของการเดินเข้าไปเอางาน จากพระหัตถ์ เป็นเสี้ยววินาทีที่ตื่นเต้น ซาบซึ้ง และไม่อาจลืม


อาจจะนานเกินไป ที่จะพูดถึง การจัดดนตรี สดุดีดนตรีมหาราชา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 50 ที่ผ่านมา แต่ไม่นานเกินไปที่จะพูดถึงความประทับใจด้านผลสำเร็จที่เราพอใจ ในหลายๆ ด้าน ซึ่งผลสำเร็จอาจไม่ได้วัดที่จำนวนผู้ชมอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสุขใจ และมิตรภาพ ที่ได้รับจากการจัดงาน

เรื่องแรก คือ การได้มีโอกาสจัดดนตรี ที่ได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัว มาบรรเลงในรูปแบบเพลงคลาสสิก ให้กับนักเรียน นักศึกษา ได้รับฟัง ถือเป็นโอกาสดียิ่ง เพราะเราชาวเชียงราย อยู่ไกลปีนเที่ยง นานๆ ครั้ง ถึงจะได้มีโอกาสได้ฟังวง Symphony Orchestra สดๆ กันสักครั้ง เราเองก็เคยได้ฟัง BSO บรรเลงเพียงแค่ครั้งเดียว ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อนานมาแล้ว

เรื่องที่สอง คือ ได้มี connection หรือความเมตตา จาก อ.ทัศนา นาควัชระ ที่รับปากว่า จะมาแสดงดนตรีดีๆ แบบนี้ให้เราฟังอีก

เรื่องที่สาม คือ ความสุขใจ อิ่มใจ ตลอดช่วงเวลาที่ดนตรีบรรเลง แม้จะมีหลายคนที่หลับบ้าง แต่ก็แน่ล่ะ ก็เพราะเพลงเพราะจับใจ อากาศเย็นสบาย แต่ก็มีอีกหลายๆ คน ที่ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เราได้แต่นึกในใจว่า นี่อาจเป็นแรงบันดาลใจ ของเด็กๆ และหนึ่งในผู้ชมกว่าห้าร้อยคนในวันนี้ อาจเป็นศิลปินเอกชาวเชียงรายในอนาคตก็ได้

และเพิ่งได้รับข่าวดี จาก อ.ทัศนา ว่า คณะอาจารย์และนักศึกษา จากคณะดุริยางคศิลป์ จะเดินทางมาแสดงดนตรีให้เราอีกครั้ง ในวันที่ 15 มกราคม 51 นี้

ในครั้งนี้ ตั้งใจว่า จะรีบประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักเรียนนักศึกษา ได้มาเข้าชมกันเยอะๆ อย่างน้อยที่สุด ก็อยากให้ดนตรีคลาสสิก เป็นทางเลือกในการฟังดนตรี นอกเหนือจาก pop rock indy ที่เด็กเดี๋ยวนี้ฟังกัน