Friday, November 23, 2007

วิธีอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ


ช่วงนี้ มักได้ยินใครต่อใครพูดถึง การที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ชอบ ไม่ว่าจะในชีวิตหรือการทำงาน จริงๆ แล้ว การที่เราไม่ชอบ อาจไม่ได้หมายถึงเราไม่ชอบตัวตนของคนคนนั้น เพียงแต่ว่า ในชีวิตของการทำงาน ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เมื่อบ่อยๆ และนานเข้า ก็จะกลายเป็นความไม่ชอบใจ ลองนึกถึงวันแรกที่มาทำงานสิ คนที่มาก่อน ก็ย่อมจะหวังว่า น้องใหม่ จะมาเป็นเพื่อนร่วมงาน ร่วมอุดมการณ์ เหมือนพี่เหมือนน้องกัน แต่ไฉน นานวันเข้าจึงเป็นแบบนี้



ได้อ่านบทความ ของท่าน ว. วชิรเมธี ที่พูดถึงวิธีอยู่กับคนที่เราไม่ชอบได้น่าฟัง

ลองอ่านดูนะคะ น่าจะช่วยคลายเส้นความไม่พึงใจ ให้ทุเลาลงได้บ้าง


**************************

เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย
ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา)
กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต
โดยลืมไปเลยว่า อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
'“น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”'
คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ใ
ห้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมา เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก
จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย
ใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา)
กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต
โดยลืมไปเลยว่า อะไร คือ สิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า
'“น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวา คือ พร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด”'
คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ

ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า
ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมา เพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้
เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น
ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า
บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย
ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม
หรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง

ความโกรธ ความเกลียดนั้น ไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า

''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''

กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด

ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน'' แก้ไขที่ตัวเอง

อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด

สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ

หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด

อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา แต่จงย้ายตัวเอง ''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?

วิธีแก้ปัญหา illegal post time!!

สำหรับทุกท่านที่มีปัญหาการ post บทความใน blog
ที่เมื่อพิมพ์ข้อความแล้ว post จะปรากฎข้อความ illegal post time error!!! แล้วล่ะก็
เราพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว สามารถทำได้ง่ายมาก และคิดว่าปัญหานี้จะพบกับผู้ใช้งาน blogger ในประเทศไทย
มาเริ่มแก้ปัญหากันเลยนะคะ
- เข้าสู่หน้า Setting

- เลือกเข้าเมนู Formating
เข้าไปแก้ไขรายละเอียดใน Time zone ให้ปรับเป็น (GMT+07.00) Bangkok
Language ให้ปรับเป็น English
ขอให้ทุกคน Enjoy กับการใช้ Blogger ในการเนรมิตร blog ส่วนตัวต่อไปนะคะ
อย่าลืมขยันมา update อะไรใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟัง

Try to Solved problem!!!!

changed the language to English in the setting page

Friday, November 9, 2007

บทเพลงของพ่อ


ตอนยังเป็นเด็กๆ จำได้ว่า คุณครูจะสอนให้ร้องเพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่ สายฝน ลมหนาว ซึ่งก็จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ตอนที่ร้องเพลง หรือได้ฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ ก็ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้ง เท่ากับวันนี้ อาจจะด้วยที่ว่า ตอนที่เรายังเด็ก เรายังไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำในบทเพลง และเรายังไม่รู้ว่า พระเจ้าอยู่หัว ผู้ที่ประพันธ์บทเพลงเหล่านี้ ท่านเป็นผู้รักประชาชนชาวไทยทุกคนอย่างไร


ยิ่งเติบโตขึ้น ความรักของเราที่มีต่อพ่อหลวง ก็ยิ่งทวีขึ้น เพราะทุกยามของชีวิตที่เติบโต เราต่างรับรู้ถึงพระคุณของพระองค์ที่หาที่สุดไม่ได้

ครั้งเดียวที่ได้เฝ้าพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดที่สุด คือวันพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2541 เกือบ 10 ปี มาแล้ว จำได้ว่า เสี้ยววินาที ของการเดินเข้าไปเอางาน จากพระหัตถ์ เป็นเสี้ยววินาทีที่ตื่นเต้น ซาบซึ้ง และไม่อาจลืม


อาจจะนานเกินไป ที่จะพูดถึง การจัดดนตรี สดุดีดนตรีมหาราชา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 50 ที่ผ่านมา แต่ไม่นานเกินไปที่จะพูดถึงความประทับใจด้านผลสำเร็จที่เราพอใจ ในหลายๆ ด้าน ซึ่งผลสำเร็จอาจไม่ได้วัดที่จำนวนผู้ชมอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความสุขใจ และมิตรภาพ ที่ได้รับจากการจัดงาน

เรื่องแรก คือ การได้มีโอกาสจัดดนตรี ที่ได้อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัว มาบรรเลงในรูปแบบเพลงคลาสสิก ให้กับนักเรียน นักศึกษา ได้รับฟัง ถือเป็นโอกาสดียิ่ง เพราะเราชาวเชียงราย อยู่ไกลปีนเที่ยง นานๆ ครั้ง ถึงจะได้มีโอกาสได้ฟังวง Symphony Orchestra สดๆ กันสักครั้ง เราเองก็เคยได้ฟัง BSO บรรเลงเพียงแค่ครั้งเดียว ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อนานมาแล้ว

เรื่องที่สอง คือ ได้มี connection หรือความเมตตา จาก อ.ทัศนา นาควัชระ ที่รับปากว่า จะมาแสดงดนตรีดีๆ แบบนี้ให้เราฟังอีก

เรื่องที่สาม คือ ความสุขใจ อิ่มใจ ตลอดช่วงเวลาที่ดนตรีบรรเลง แม้จะมีหลายคนที่หลับบ้าง แต่ก็แน่ล่ะ ก็เพราะเพลงเพราะจับใจ อากาศเย็นสบาย แต่ก็มีอีกหลายๆ คน ที่ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เราได้แต่นึกในใจว่า นี่อาจเป็นแรงบันดาลใจ ของเด็กๆ และหนึ่งในผู้ชมกว่าห้าร้อยคนในวันนี้ อาจเป็นศิลปินเอกชาวเชียงรายในอนาคตก็ได้

และเพิ่งได้รับข่าวดี จาก อ.ทัศนา ว่า คณะอาจารย์และนักศึกษา จากคณะดุริยางคศิลป์ จะเดินทางมาแสดงดนตรีให้เราอีกครั้ง ในวันที่ 15 มกราคม 51 นี้

ในครั้งนี้ ตั้งใจว่า จะรีบประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักเรียนนักศึกษา ได้มาเข้าชมกันเยอะๆ อย่างน้อยที่สุด ก็อยากให้ดนตรีคลาสสิก เป็นทางเลือกในการฟังดนตรี นอกเหนือจาก pop rock indy ที่เด็กเดี๋ยวนี้ฟังกัน

Introduction

Blog ของสมาชิกพี่น้องส่วนพัฒนานักศึกษา มาจากแนวคิดที่อยากจะสร้างสังคมการทำงานของพวกเรา เป็น Knowlege Base Society หรือ สังคมฐานความรู้ ที่มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ของพนักงานแต่ละคน เนื่องจากความรู้และประสบการณ์ โดยเฉพาะประสบการณ์การทำงาน ในบุคคลหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ซ่อนอยู่ในตัวบุคคล (Tacit Knowledge) ลองนึกภาพภูเขาน้ำแข็ง ที่ส่วนใหญ่จะจมอยู่ในน้ำ แต่มีเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่อยู่บนผิวน้ำ
ดังนั้น เพื่อให้ความรู้ที่จมอยู่ในน้ำเหล่านั้น ได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น เราจึงได้จัดทำ blog ขึ้น เพื่อใช้เป็นศูนย์กลาง ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ในรูปแบบของ Knowledge Management หรือ KM ที่เป็นคำที่น้องๆ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยิน และสงสัย ว่าคืออะไร เป็นยังไง และเราจะได้อะไรจากมัน ซึ่งเรื่อง KM นี้ จะบอกเล่าในตอนต่อๆไปนะคะ

สิ่งที่จะบอกเล่าใน blog จะเป็นการนำเอาความรู้ บทความต่างๆ ที่น่าสนใจ และประสบการณ์ในการทำงานโดยเฉพาะประสบการณ์ในการทำงานกับนักศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ดี และหลายๆประสบการณ์ก็เป็นเหตุการณ์วุ่นๆ ของเหล่านักศึกษาตัวแสบ ที่บางครั้งก็ชวนขำ หรือบางครั้งก็โศกเศร้าเคล้าน้ำตาเลยทีเดียว

ก็คงจะ introduction สั้นๆ เท่านี้ก่อนนะคะ คงจะมีเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันในโอกาสต่อไปค่ะ